เปิดฉากพัง..! แชมป์เก่าลิเวอร์พูลโดนนาโปลีย้ำแค้น

ลิเวอร์พูล เปิดฉากป้องกันแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่น่าอภิรมย์เมื่อออกไปเยือน นาโปลี พร้อมกับแพ้สบายด้วยสกอร์ 0-2 ที่สนามซาน เปาโล รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี เมื่อวันอังคารที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาต้องเจ็บช้ำระกำใจในเมืองเนเปิ้ลส์ สองปีติดต่อกัน

เกมนี้ “หงส์แดง” กับ “อัซซูร่า” โชว์ศักยภาพในการเล่นเกมบุก และจังหวะสวนกลับอย่างเมามัน ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะพลาดท่าจากการเล่นโฉ่งฉ่างของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จนนำไปสู่การเสียจุดโทษ และ ดรีส์ เมอร์เท่นส์ จัดการส่งบอลเข้าซุกก้นตาข่าย ขณะที่ในช่วงทดเจ็บความไม่เข้าใจกันระหว่าง โรเบิร์ตสัน กับ อาเดรียน ที่ต่างเกรงใจกัน สุดท้ายก็โดน แฟร์นานโด้ ยอเรนเต้ จัดการซัดเข้าไปไม่เหลือซาก

 

 

สำหรับแมตช์นี้ดูเหมือนเกมรุกของ “เดอะ เร้ดส์” เล่นไม่ค่อยเข้าฝัก และเมื่อมีโอกาสที่จะทำประตูก็ดูเหมือนยังขาดๆ เกินๆ แต่ที่น่าประทับใจสำหรับลิเวอร์พูล ก็คือ อาเดรียน ที่เกมนี้โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟหลายครั้ง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ “เดอะ ค็อป” อุ่นใจได้บ้างในยามที่รอคอย อลีสซง เบ็คเกอร์ กลับมา

ขณะที่นักเตะที่โดดเด่นที่สุดก็คือ คาลิดู คูลิบาลี่ เซนเตอร์แบ็ก นาโปลี ที่จัดการเกมรุกของ “หงส์แดง” อยู่หมัด ฉะนั้นนี่คือบทเรียนสำคัญของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวด๊อยท์ช ที่จะต้องรีบหาทางแก้ไขเรื่องนี้ เมื่อทีมต้องเจอกองหลังแข็งแกร่ง ควรจะแก้เกมยังไง และใช้ใครลงมาป่วน !!!

1. อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดน อินซินเย่ ทดสอบ
อย่างที่ทราบกันดีว่า เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มักจะมีปัญหาเรื่องการเล่นเกมรับ และวันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องเจอกับค่ำคืนที่สุดหินในเมืองเนเปิ้ลส์ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองหน้าเทคนิคดี แถมยังมีความเร็วสูงอย่าง ลอเรนโซ่ อินซินเย่

 

 

จะว่าไปแล้ว “เจ้าหนูเทรนต์” ก็ไม่ได้เล่นผิดพลาดอะไรมากนัก เพราะหากแนวรับคนไหนต้องมาปะทะกับ อินซินเย่ ที่เต็มไปด้วยเทคนิคแพรวพราว และเร็วยังกับจรวด โดยตลอด 66 นาทีที่เขาอยู่ในสนาม เล่นเอา แบ็กขวาชาวอังกฤษ ต้องเปิดตำราตั้งรับแทบไม่ทัน
อย่างไรก็ตาม ดาวเตะสายเลือด “เดอะ ค็อป” พันธุ์แท้ ได้อะไรมากกว่าจากแมตช์นี้ บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในการเล่นเกมรับที่ดีเยี่ยมของเขาในการเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ โดยตลอดทั้งเกม อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คอยวิ่งช่วยเหลือ โฌเอล มาติป ในการเล่นเกมรับ แต่เมื่อมีโอกาสเจ้าตัวก็จะวิ่งไปช่วยเกมบุกตลอด

ฉะนั้นผลงานของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อาจจะดูตื้อๆ ไปบ้างเนื่องจากไม่สามารถเล่นในเกมที่ตัวเองถนัด แต่กระนั้นการช่วยเกมรับให้กับทีมถือเป็นสิ่งที่เจ้าตัวพัฒนาขึ้น แต่น่าเสียดายทีเด็ดจากการเปิดบอลริมเส้นของเขาไม่มีให้เห็นในเกมนี้เลย

2. โรเบิร์ตสัน ฟอร์มหลุด
เกมนี้ต้องยอมรับว่าฟูลแบ็กสองฝั่งที่ถือว่าเป็นทีเด็ดของ ลิเวอร์พูล เงียบสนิท น้อยมากที่จะขึ้นไปสร้างความหวาดเสียว หรือมีจังหวะการเปิดบอลทีเด็ดทีขาด โดยเฉพาะในรายของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ต้องยอมรับว่าเกมนี้ไม่ใช่วันของเขาจริงๆ

 

 

กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ต้องรับมือกับแนวรุกสายสปีดของเจ้าบ้านอย่างหนัก โดยในช่วงครึ่งแรกเขาแทบไม่ได้มีโอกาสดันเกมขึ้นไปช่วยเกมรุกมากนัก เพราะต้องพะวงการเล่นสวนกับของนาโปลี ที่มีนักเตะความเร็วสูงอย่าง อินซินเย่, ดรีส์ เมอร์เท่นส์ และ โฆเซ่ กาเยฆอน ที่คอยวิ่งสลับสับเปลี่ยนป่วนแบ็กซ้ายขวาของ “หงส์แดง” ตลอด

โดยเฉพาะในครึ่งหลัง โรเบิร์ตสัน ทำพลาดมหันต์เมื่อไม่สามารถจัดการกับความเร็วของ กาเยฆอน ได้แถมยังกะจังหวะการเข้าสกัดโฉ่งฉางส่งผลให้ทีมต้องเสียจุดโทษ ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะช่วงทดเวลาบาดเจ็บ “แอนดี้” ดันสื่อสารกับ อาเดรียน ไม่ดีทำให้เกิดจังหวะลูกเกรงใจ และกลายเป็นหายนะเมื่อ แฟร์นานโด้ ยอเรนเต้ ได้โอกาสยิงตอกฝาโลงสบายอุรา
แน่นอนว่านักฟุตบอลทุกคนมีโอกาสที่จะฟอร์มตกกันไปบ้าง ฉะนั้นสิ่งที่ โรเบิร์ตสัน ต้องรีบแก้ไขก็คือการเรียกความมั่นใจกลับมาโดยด่วน เพราะแมตช์ต่อไป “หงส์แดง” มีแมตช์สำคัญปะทะ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เกมพรีเมียร์ลีก ช่วงสัปดาห์นี้

3. คูลิบาลี แกร่งทั่วแผ่นสมคำร่ำลือ
ถ้าหาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เอ๊ย เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เป็นกองหลังที่เก่งที่สุดในโลก งั้น คาลิดู คูลิบาลี่ จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ เพราะวันนี้เจ้าตัวแสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่าเซนเตอร์แบ็กที่แข็งแกร่งควรเป็นใคร !!??

 

 

ปราการหลังชาวเซเนกัล ยืนปักหลักในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กทางซ้าย และเขาก็เล่นได้อย่างสุดยอด แถมยังมีความเร็วและการอ่านเกมที่เด็ดขาดอีกต่างหาก แน่นอนว่าฟอร์มแบบนี้ย่อมทำให้กองกลาง และแผงแนวรุกกล้าเสี่ยงขึ้นไปกดดันกองหลัง “หงส์แดง” เพราะพวกเขาวางใจได้ว่า คูลิบาลี สามารถรับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้

ทุกๆ สายตาคงจะเห็นชัดเจนว่าเมื่อไหร่ที่คู่แข่งพยายามจะวิ่งฉีกหนี คูลิบาลี เขาจะแผ่รัศมีจัดการกับคู่ต่อกรทันที แน่นอนว่าแข้ง “เดอะ เร้ดส์” รู้ว่า กองหลังทีมชาติเซเนกัล แข็งแกร่ง และยากที่จะเอาชนะพวกเขาได้ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะทั้ง ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ไม่สามารถจัดการกับ คูลิบาลี ในจังหวะแบบดวลกันตัวต่อตัว
นอกจากนี้ แนวรับวัย 28 ปี ยังค่อยช่วยเป็นตัวสนับสนุนให้กับ มาริโอ รุย ด้านแบ็กซ้าย ทุกครั้งที่โดน “คิง ออฟ อียิปต์” ใช้ความเร็วและเทคนิคเข้ามาโจมตีทางฝั่งนี้ แม้จะผ่าน รุย มาได้ แต่ คูลิบาลี ก็ยังสามารถจัดการเก็บกวาดไม่ให้ ซาลาห์ เข้าไปสร้างความอันตรายในเขตโทษได้

ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คูลิบาลี จะได้รับเลือกเป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้

4. อาเดรียน โชว์ให้เห็นว่าคู่ควรมือ 1
อาเดรียน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งในเกมนี้ และทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” รู้สึกอุ่นใจเพราะในยามที่ “หงส์แดง” ต้องขาด อลีสซง เบ็คเกอร์ พวกเขายังมี โกลมากประสบการณ์ชาวสแปนิช ที่ยังพึ่งพาได้ และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในเกมกับ นาโปลี

 

 

ก่อนหน้านี้ อาเดรียน ก็เคยเป็นฮีโร่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ มาครอบครอง แต่ในเกมที่สนามซาน เปาโล เจ้าตัวได้ยกระดับผลงานขึ้นไปอีกขึ้น งานนี้แฟนบอล “เดอะ เร้ดส์” อาจจะหายคิดถึง นายทวารชาวบราซิเลียน เจ้าของค่าตัว 67 ล้านปอนด์ (ราว 2,546 ล้านบาท) ไปได้บ้าง

ครึ่งแรก อาเดรียน โชว์ความสุดยอดด้วยการโชว์ดับเบิลเซฟจากการตะบันเต็มข้อไม่ง้อแฟนของ ฟาเบียน รูอิซ ขณะที่ในครึ่งหลัง มาริโอ รุย เปิดบอลให้ ดรีส์ เมอร์เท่นส์ วิ่งมาอัดด้วยขวาในกรอบ 6 หลา แต่ นายด่านเลือดกระทิงดู โชว์ความเหนียวหนึบปัดบอลได้น่าตาเฉย
แน่นอนว่าการเสีย 2 ประตูถือว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ สำหรับ อาเดรียน แต่หากมองจากโอกาสที่ นาโปลี มีสิทธิ์ส่งบอลซุกก้นตาข่าย ต้องยอมรับว่าเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมไม่เสียประตูไปมากกว่านี้ เพราะอย่าลืมว่าการเล่นในรอบแบ่งกลุ่มผลต่างประตูได้เสียมีสิทธิ์ชี้ชะตาอนาคตได้เลยทีเดียว

5. 3 ประสานเงียบกริบ
แนวรับคู่แข่งทุกทีมคงได้ขาสั่นเมื่อได้ยินว่า มาเน่, ซาลาห์ และ ฟีร์มีโน่ ลงสนาม เพราะทั้งสามคนสามารถทำลายกองหลังได้ทุกทีมในโลกใบนี้ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับการไปเยือน นาโปลี เพราะสามประสาน “หินเหล็กไฟ” เล่นกันไม่ค่อยเข้าขาเลย

 

 

อย่างในกรณีของ ฟีร์มีโน่ หลายคนรู้สึกผิดหวังเมื่อฟอร์มที่สุดยอดในแมตช์ถลุง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ไม่มีให้เห็นในการเยือนเมืองเนเปิ้ลส์ บางครั้ง “บ็อบบี้” ยังดูเหมือนครองบอลนานเกินไปทำให้ทีมเสียจังหวะ หรือบางจังหวะน่าจะยิงประตูแต่ดันใจดีสวมบท “พี่มีแต่ให้” ส่งบอลให้ ซาลาห์ กับ มาเน่ จนพลาดทำประตูอย่างน่าเสียดาย

 

 

ขณะเดียวกับ ซาลาห์ ก็ต้องมาเจอกับความยากลำบากในการดวลกับ คูลิบาลี ส่วน มาเน่ ต้องบอกว่าเกมนี้การจับบอลไม่ค่อยเชื่องเท้า ทำให้เกมเสียจังหวะ ส่วนการประสานงานระหว่างทั้งคู่ยิ่งน่าผิดหวังโดยเฉพาะในครึ่งหลังที่มีจังหวะสวนกลับ แต่ มาเน่ ดันส่งบอลแรงทำให้ “โม ซาลาห์” พลาดโอกาสทอง

 

 

ปกติแล้ว 3 ประสาน “เอสเอ็มเอฟ” มักจะสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ตลอดเวลา แต่ในแมตช์เยือน นาโปลี ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถทำเรื่องที่สาวก “เดอะ ค็อป” เห็นอยู่เป็นประจำได้เลย ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ “เน่-ลาร์-โน่” ฟอร์มฝืด เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องมีแผนสำรองทันที ไม่งั้นผลการแข่งขันจะออกมาเป็นแบบนี้